ก่อนจะเลี้ยงหมู ทำไมคุณไม่สร้างแหล่งอาหารไว้ให้มันก่อน
การเลี้ยงหมู "อย่าใช้คำว่า..ลดต้นทุน" จนเป็นนิสัย
เราต้องใช้คำว่า... "ไม่ต้องใช้ทุน" ในการเลี้ยงหมูมากกว่า
ไม่ใช่..เอ๊ะอะ..ก็ซื้อ เอ๊ะอะ.... ก็ซื้อ
พอหักลบกลบหนี้ ขาดทุนทุกครั้งไป
การเลี้ยงหมู อย่างที่เราคุ้นเคย และเห็นกันมาตั้งแต่เด็กนั้น
มักเอาเงินไปซื้อหัวอาหารสำเร็จรูป
ให้หมูกินทำ จากนั้นก็นำหมูไปขาย
... เพื่อได้เงินมา...
.
คำถาม...คือ...แล้วเราจะเลี้ยงหมูเพื่ออะไร?
ในเมื่อ...คุณสามารถเอาเงินที่คุณซื้อหัวอาหารใส่ลงไปในแต่ละวันนั้น สามารถเอาไปซื้ออาหารทานได้เลย โดยไม่ต้องทำกระบวนการให้มันซับซ้อนขนาดนั้น
วันนี้ผมจึงจะนำไอเดีย มาแบ่งบันกัน เพื่อทุกท่านที่สนใจจะลองนำไปปรับปรุง ดันแปรงให้เข้ากับตัวเอง
ก่อนเลี้ยงทำไม...เราต้องสร้างแหล่งอาหารไว้ก่อน
เรามาดูกันว่า สิ่งที่เราควรปลูก อาหารหมูที่สามารถกินได้ และปลูกได้มีอะไรบ้าง
ต้นกล้วยและผลกล้วยสุก
กล้วยกับหมู เกษตรกรไทยรู้จักใช้ต้นกล้วย หรือหยวกกล้วย เลี้ยงสัตว์มานานแล้ว กระทั่งปัจจุบันเกษตรกรในชนบทยังใช้ต้นกล้วยเป็นอาหารหยาบหลักเลี้ยงสุกร โดยนำต้นกล้วยทั้งต้นมาลอกเปลือกด้านนอกออก เอาเฉพาะต้นกล้วยส่วนที่อ่อนๆ หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ผสมรำ ผสมปลายข้าว หรือหั่นต้นกล้วยรวมกับเศษอาหารเพื่อให้มีความน่ากิน ทำให้สุกรกินอาหารมากขึ้น
สังเกตเห็นว่าต้นกล้วยมีการย่อยได้พอสมควร แม้สารอาหารที่เป็นประโยชน์อาจจะมีไม่มากนัก แต่ก็ประหยัดต้นทุนสำหรับผลิตสุกรได้มาก เกษตรกรอาจจะใช้เวลาเลี้ยงสุกรนานถึง 1 ปี จึงจะมีน้ำหนักมากพอจะจำหน่ายได้
ผักโขม
โด่งดังเพราะป๊อบอายส์ตัวการ์ตูนกะลาสีที่กินเป็นประจำจนแข็งแรงทั้งๆ ที่ตัวเล็กนิดเดียว เนื่องจากผักโขมมีธาตุเหล็ก ซัลเฟอร์ เบต้าแคโรทีน แมกนีเซียม และแคลเซียมสูง สำหรับผักโขกพันธุ์พื้นบ้านไทย มีลักษระเป็นต้นเตี้ยๆ เล็กๆ ชาวบ้านชอบเก็บเอามาต้มให้สุก กินกับน้ำพริก หากใครมีโอกาสซื้อผักในตลาดสดท้องถิ่นให้ ลองสังเกตผักโขมบ้านที่ชาวบ้านและกำเป็นมัดสั้นๆ วางขาย ผักโขมบ้านจะมีใบเขียวเข้มกว่าและใบเล็กนิดเดียว แต่นำมาปรุงเป็นอาหารสำหรับคนหรือต้มเป็นอาหารเลี้ยงหมูก็มีคุณประโยชน์ไม่แพ้กัน
มะละกอ
ปลูกมะละกอ นอกจากเราจะได้กินแล้ว เป็นอาหารสำหรับหมูอันดับต้นๆที่ คนสมัยก่อนทำยอด ผล และใบมาต้มเป็นอาหารให้หมูกิน
มันสำปะหลัง
เป็นวัสตุดิบอาหารประเภทแป้งหรือประเภทให้พลังงาน เช่นเดียวกับประเภทธญัญาพืชเช่นปลายข้าวและข้าวโพด เพียงแต่มันสาปะหลังจะมีปริมาณกรดอะมิโนและ
ปริมาณโปรตีนที่น้อยกว่า
จึงควรนำไปพึ่งแดด แบบเป็นมันเส้น ได้3-4 แดด ปริมาณกรดไฮโดรไซยานิคจะลดลง ซึ่งไม่เป็นอัตรายต่อสัตว์
ยังมีอีกพืชอีกหลายชนิดที่ สามารถนำมาเป็นอาหารให้หมูกินได้
เมื่อรู้แบบนี้แล้วยังจะต้อง ซื้อหัวอาหารอีกทำไม
เลี้ยงหมูตามธรรมชาติ โตแค่ไหนขายแค่นั้น
จะสร้างต้นทุนขึ้นมาทำไม ต้นทุนที่เราจะมีควรมีเพียงแค่
"ตัวหมู กับ เวลา"
เท่านั้น